ยางที่เกิดจากการโคพอลิเมอไรเซชั่น ระหว่าง สไตรีน และบิวตาไดอีน แบบอิมัลชั่น เป็นยางสังเคราะห์ที่สำคัญ และใช้กันแพร่หลายที่สุดในวงการอุตสาหกรรม เนื่องจากยางชนิดนี้ราคาไม่แพง และมีคุณสมบัติเด่นในด้านต่าง ๆ นอกจากนี้ยาง SBR มีการหดตัวน้อย ง่ายต่อการขึ้นรูปในวิธีต่างๆ เช่น การขึ้นรูปด้วยคาเลนเดอร์ หรือการเอ็กทรูด ทำให้ผิวเรียบ ยาง SBR ยังแบ่งเป็น 5 เกรด ตามน้ำหนักโมเลกุล และกระบวนการผลิต ตามมาตรฐานสากล ซึ่งทำให้ยาง SBR มีคณสมบัติที่แตกต่างกันไป
ยาง SBR มีสมบัติความเหนียวติดกัน จำเป็นต้องใช้สารทำให้เพิ่มการเหนียวติดในการผลิตผลิตภัณฑ์บางชนิดเช่น ยางรถยนต์ ความยืดหยุ่นต่ำกว่ายางธรรมชาติ และถ้ายาง SBR มีเปอร์เซ็นต์ styrene สูงจะยิ่งทำให้ความยืดหยุ่นต่ำลง ความทนทานต่อแรงดึงต่ำ ความทนทานต่อแรงฉีกขาด การต้านทานต่อการขัดถู ความทนต่อการเสื่อมสภาพ เมื่อโดนความร้อน แสงแดด ออกซิเจน และโอโซน ต่ำกว่ายางธรรมชาติ แต่หากเติมสารเสริมแรงหรือ สารเสริมประสิทธิภาพจะทำให้คุณสมบัติต่างดีเทียบเท่ากับยางธรรมชาติ ยาง SBR ทนน้ำมันปิโตรเลียมและตัวทำละลายไฮโดรคาร์บอนต่ำ เนื่องจากเป็นยางที่ไม่มีขั้ว แต่จะทนต่อกรด และด่างเจือจาง อัลกอธอล์ น้ำ ไกลคอล เกลือ และน้ำมันซิลิโคนได้เป็นอย่างดี ยางชนิดนี้มีความเป็นฉนวนสูงแต่จะมีการกระเด้งกระดอนต่ำกว่ายาง
ธรรมชาติ อุณหภูมิที่เหมาะสมในการใช้งาน ตั้งแต่ -50 – 100 องศาเซลเซียส
SBR ถูกนำไปผลิตเป็น สายพาน พื้นรองเท้า ฉนวนหุ้มสายไฟ ท่อยาง ผลิตภัณฑ์ยางทางการแพทย์ บรรจุภัณฑ์อาหาร เป็นต้น
แหล่งที่มาอ้างอิง
